"อนุกมธ.ศึกษาขุดคลองไทย" จับมือ "สภาวิศวกรรมสถานฯ" จัดเสวนา "มุมมองวิศวกรต่อการพัฒนาคลองไทย" ผลักดัน “ขุดคลองไทย” ชี้ หากสำเร็จ ไทยจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก-แก้วิกฤติโควิด-19 คาดสร้างรายได้ให้ประเทศ 10 ล้านล้านบาท
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค คณะอนุกรรมาธิการศึกษาขุดคลองไทย และระเบียงเศรษฐกิจ และผลกระทบ ร่วมกับสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมป์ ได้จัดการเสวนา เรื่องมุมมองวิศวกรต่อการพัฒนาคลองไทย โดยมีนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกรฯ เป็นประธานเปิด
โดยนายสุชัชวีร์ กล่าวว่า อยากเห็นประเทศไทยก้าวสู่ประเทศชั้นนำระดับโลก ไม่เพียงมุมมองทางเศรษฐกิจที่เรามีปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีช่องห่างของรายได้ อนาคตของลูกหลานไทย หากไม่มีการสร้างแนวคิดด้านวิศวกรรม จะไม่สามารถแข่งในเวทีโลกอีกต่อไป
"เวียดนาม มีการก้าวหน้าด้านวิศวกรรมมากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มีต่างชาติมากกว่าไทย 3 เท่า ซึ่งเราไม่สามารถอยู่เฉยได้ และไม่เฉพาะรัฐที่ต้องสนใจ แต่ทุกภาคส่วนต่องร่วมมือกัน ให้การพัฒนาทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วม ในเจนเนอเรชั่นนี้ มีสิ่งใหม่รองรับพัฒนา เรื่องการพัฒนาคลองไทย ยังไม่มีคำตอบว่า จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ แต่ทุกคนจะต้องหาคำตอบร่วมกัน" นายกสภาวิศวกรฯ กล่าวและว่า โลกเปลี่ยนแปลงทุกนาที คนร่ำรวยล้มหายตายจาก จากนี้ไปประเทศไทยต้องบริหารกันด้วยหลักวิชา วันนี้จึงต้องพูดด้วยหลักวิชา ถ้ายังไม่สามารถหาคำตอบชัดเจน ทำได้หรือไม่ ใช้เวลาเท่าไหร่ มีผลต่อเศรษฐกิจ ต่อสภาพสังคมที่เกี่ยวข้องอย่างไร จึงไม่เกิดซักที ไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะไม่นำทรัพยกรที่ได้เปรียบมาใช้ในการพัฒนาประเทศ หากเรานิ่งเฉย เราก็จะไม่สามารถแข่งขันได้
ด้านพล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ ประธานอนุกรรมาธิการศึกษาการขุดคลองไทย กล่าวว่า ไทยจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกได้ หากมีการขุดคลองไทย มีการเสนอสภาสปช. แต่ไม่มีการนำมาดำเนินการ จึงได้เสนอเป็นญัติเข้าสู่สภาผู้แทนฯ ซึ่งได้เสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ เพราะคลองไทยถือเป็นทางออกของประเทศ โดยเฉพาะยุคโควิด ไม่มีทางอื่นจะหาเงินเข้าประเทศได้มากมายขนาดนี้ ไม่ว่า จะมีสงครามการค้า หรือเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างสิงคโปร์มีรายได้เข้าประเทศแต่ละนาทีมหาศาล และเราได้เปรียบที่มีน้ำจืดที่จะขายให้เรือต่างๆ เพียงประมาณว่าจะมีรายได้ 4 ล้านล้านขึ้นไป ถ้ามีระเบียงเศรษฐกิจอาจจะสูงถึง 10 ล้านล้าน
อย่างไรก็ตาม คลองไทยเป็นโครงการอภิมหาโปรเจค หากสำเร็จจะมีการย้ายฐานเศรษฐกิจของโลกมายังประเทศไทย ซึ่งจะมีการเสนอให้ทำประชามติ ได้เรียนให้นายกฯ ทราบแล้ว ไม่ได้คัดค้าน แต่ได้บอกให้ศึกษาด้านความมั่นคง ซึ่งไม่มีปัญหา การเสวนาก็จะมีประโยชน์ในแง่ด้านวิชาการ ที่จะนำสู่สภาต่อไป
และภายในปีนี้จัผลักดันให้รัฐบาลดำเนินการเป็นวารระแห่งชาติ และจะมีการออกกฎหมายให้รัฐบาลดำเนินการตาม ยืนยันว่าการขุดคลองไทยคุ้มค่าแน่นอน ตอนนี้ ทั้งสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย อินเดีย ติดต่อเข้ามา ถ้าไม่สำคัญประเทศมหาอำนาจไม่ให้ความสนใจ และจะเสนอให้เป็นคลองนานาชาติ เพื่อไม่ให้มีปัญหาความขัดแย้งของมหาอำนาจ ทั้งนี้ ความแตกต่างของระดับน้ำ 2 ฝั่งทะเล ข้อมูลจากกรมอุทกศาสตร์ ระบุว่า ต่างกันแค่ 60 เซนติเมตร ส่วนในแง่การลงทุน ตอนนี้มีคนเสนอขอขุดคลองไทย 100% แต่เราจะทำ MOU สำหรับผู้สนับสนุนการลงทุน ซึ่งจะแก้ปัญหาเงินลงทุนได้ และหลายประเทศต้องการให้ขุดเพื่อย่นระยะทาง 4,000-5,000 กิโลเมตร และหากเราทำระเบียงเศรษฐกิจครบวงจร ส่วนผลกระทบ จะต้องมีการเยียวยาประชาชน
นายวีรวัฒน์ แก้วนพ วิศวกรสมาคมคลองไทย และกรรมการสภาวิศวกร กล่าวว่า ในโลกนี้ มี 2 คลอง คือ คลองสุเอซ และคลองปานามา ที่ขุดโดยมนุษย์ ย่นระยะทางได้นับ 10,000 กิโลเมตร มีเรือผ่าน 2 คลองประมาณ 30,000 ลำ แต่ช่องแคบมะละกามีเรือผ่าน 80,000 ลำต่อปี เพราะเป็นฐานการผลิตของโลก และมีประชากรเยอะ มีตู้คอนเทนเนอร์ผ่านปีละ 50 ล้านตู้ ซึ่งมี 17 ล้านตู้ ไม่จำเป็นต้องแวะสิงคโปร์ แต่ละลำใช้น้ำมัน 65 ตัน ตกวันละกว่าล้านบาทต่อลำหรือ 2 แสนล้านต่อปี สำหรับรายได้ของเรือที่ผ่านช่องแคบมะละกาประมาณ 100 ล้านล้าน และเราต้องส่งสินค้าไปขึ้นเรือที่สิงคโปร์และปีนัง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นมหาศาล สำหรับการขุดคลองไทยจาก อ.สิเกา จ.ตรัง นครศรีธรรมราช และลงทะเลที่สงขลา ดินจากการขุดก็นำไปสร้างเกาะลงทุน 2 ล้านล้าน การใช้จ่ายต่อปี ปีละมาณ 4 หมื่นล้าน และรอบบริเวณคลอง จะต้องมีแนวการพัฒนาเป็นระเบียงคลอง บริเวณพัทลุง และสงขลา เป็นแหล่งรวมสินค้า ที่ดินปรับเป็นสวนอุตสาหกรรม การแปรรูปสินค้า รายได้ประมาณ 1.4 แสนล้านต่อปี
นายวีรวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนเรือจะมาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัย คือ จะต้องย่นระยะทาง ปัจจัยค่าผ่านทางที่สมเหตุสมผล เรื่องความปลอดภัย และการบริการที่ต้องรวดเร็ว ซึ่งเรือน้ำมัน 7,000 ลำที่ไม่ต้องจอดสิงคโปร์ จะผ่านได้ ส่วนเรือคอนเทนเนอร์ การบริการสามารถพัฒนาได้ และจะต้องใช้เวลาในการสร้างพันธมิตร ค่าผ่านคลอง ประมาณ 50,000 ล้านบาท สำหรับการขุดคลอง ส่วนหนึ่งจะต้องขุดผ่านทะเลช่วงกระบี่ และตรัง จะเกิดปัญหาความขุ้นของน้ำ ซึ่งต้องใช้วิธีขุดและหยุดลดความขุ่นตรงพื้นดิน จะเจอภูเขาที่นครศรีธรรมราช และกระทบต่อแหล่งน้ำจืดลุ่มน้ำตรัง พรุควนเคร็ง นครศรีฯ และทะเลน้อย ที่จะมีน้ำเค็มกระทบ ซึ่งในเชิงวิศวกรรมสามารถลดกระทบน้ำเค็มได้ โดยหากมีการขุดจะเวลาศึกษาประมาณ 2 ปี ใช้เวลาขุดประมาณ 4 ปี
ขณะที่นายพิเชษซ์ เชื้อเมืองพาน ประธานอนุกรรมาธิการศึกษาระเบียงเศรษฐกิจ กล่าวว่า การขุดคลองไทยใช้ความกว้าง 1 กิโลเมตร ยาว 135 กิโลเมตร มีคลองเล็กคู่ขนาน 2 คลอง เป็นเรือท่องเที่ยว เรือหาปลาขนาดเล็ก และแก้ปัญหาน้ำท่วม ไทยเป็นพื้นที่พัฒนาสุดท้ายในการขุดคลอง มีเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาดใหญ่จะใหญ่กว่า EEC 10 เท่า มีคนทำงาน 16 ล้านคนจากทั่วโลก
"การทำ 4 คลอง ต้องเวณคืนมหาศาล ประมาณ 60 กิโลเมตร ยาว 135 กิโลเมตร ประมาณ 8,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อพัฒนาเป็นสมาร์ทซิตี้ ต่างชาติไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ จะใช้วิธีการร่วมทุน เป็นแนวคิดที่จะนำไปสรุป" นายพิเชษฐ์ กล่าวและว่า เรื่องความมั่นคงไม่มีปัญหา การขุดคลองจะทำให้เรือของกองทัพเรือไม่ต้องอ้อมแหลมมะละกา เราจะมีแสนยานุภาพทางทะเล เป็นชาติทะเล และมีอุโมงค์ลอดทุก 10 กิโลเมตร จึงไม่มีปัญหาในการเดินทาง
ด้านนายยุทธนา มหัจฉริยวงศ์ กรรมการวิศวกร และที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ในการขุดก่อสร้าง คนไทยสามารถทำได้ ทั้งการเจาะ การขุด เทคโนโลยีสามารถไปถึงกันได้ ในการดำเนินการจะพิจารณาในส่วนของความลึก การนำดินไปสร้างเกาะ การจัดทำคันกั้นคลอง ซึ่งจะใช้ยางพารา จะช่วยให้ราคายางดีขึ้น
"วิศวกรรม" - Google News
July 31, 2020 at 08:12PM
https://ift.tt/3hVzQLi
"สภาวิศวกรรมสถานฯ" ผลักดัน “ขุดคลองไทย” ชี้ หากสำเร็จ ไทยจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก-แก้วิกฤติโควิด-19 - สยามรัฐ
"วิศวกรรม" - Google News
https://ift.tt/2Mrzm1v
0 Comments:
Post a Comment