ทีมวิจัยคณะวิศวะมธ. พบกิจการขายปลีกน้ำมัน อาหารเครื่องดื่ม ก่อสร้าง งานโรงแรม สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เสี่ยงบาดเจ็บ กระทบพัฒนาการร่างกาย งานหนัก ย้ำวิศวกรและนักออกแบบ ต้องยึดหลัก Human Engineering Design ลดเสี่ยงบาดเจ็บสะสม อำนวยความสะดวกตลอดการใช้งาน ยื่นกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการแรงงานให้เหมาะสม
ผศ. นริศ เจริญพร อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TSE) ทีมวิจัยจากห้องปฏิบัติการวิจัยมนุษยปัจจัยทางวิศวกรรมและการยศาสตร์ และที่ปรึกษาสมาคมการยศาสตร์ไทย เปิดเผยว่า “เยาวชนทำงานพาร์ทไทม์” อาจมีความเสี่ยงสูงต่ออาการบาดเจ็บสะสมบริเวณกล้ามเนื้อ ซึ่งปัจจุบันพบมากในประชากรกลุ่มวัยทำงานทั่วไป เนื่องจากการทำงานที่หนักเกินกว่าความสามารถทางร่างกายในรูปแบบเดิมอย่างต่อเนื่อง และเป็นเวลานาน
โดยเฉพาะในกิจการขายปลีกน้ำมัน กิจการการบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม กิจการก่อสร้าง กิจการงานบริการโรงแรม อีกทั้งปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมอย่าง “อุณหภูมิ” และ “ภาวะงาน” (Work load) รวมถึงช่วงเวลาทำงานกลางคืน ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและพัฒนาการของเยาวชนได้ และผลกระทบอาจรุนแรงขึ้นหากสถานการณ์ในการทำงานเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน เช่น การสัมผัสสารเคมี อันตรายจากสารไวไฟ การยกหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของน้ำหนักมาก ขับขี่จักรยานยนต์ขนส่ง การทำงานในที่สูง ทำงานในเวลากลางคืน หรือแม้กระทั่งสัมผัสความร้อนที่สูงเกินขีดจำกัดความสามารถของร่างกาย
ดังนั้น การออกแบบเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้งานตามหลักวิศวกรรม (Human Engineering Design) จึงเป็นหลักคิดสำคัญที่วิศวกรหรือนักออกแบบทุกคน ควรให้ความสำคัญกับงานออกแบบทุกชิ้น ก่อนนำไปใช้ในการทำงานของกระบวนการผลิตจริง เพื่อลดความเสี่ยงต่ออันตรายและจากการบาดเจ็บสะสม พร้อมอำนวยความสะดวกตลอดการใช้งานให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
ทีมวิจัย ได้ชี้ให้เห็นตัวอย่างผลจำลองสถานการณ์ในห้องปฎิบัติการมนุษยปัจจัยและการยศาสตร์ (human factors in engineering and ergonomics) ที่สามารถควบคุมสภาพอุณหภูมิได้ ซึ่งใช้ศึกษาเรื่อง “สภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน เพื่อหาขีดจำกัดและคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับเด็ก” ผ่านกลุ่มตัวอย่างทั้งเพศชายและหญิง ในช่วงวัย 15 – 17 ปี 30 คน ด้วยการทดสอบสมรรถภาพร่างกายจากการปั่นจักรยาน ภายใต้ 3 เงื่อนไข ดังนี้
อุณหภูมิ ในระดับ 28, 30 และ 32 องศาเซลเซียส (WBGT) ภาระงาน ในลักษณะงานเบามาก งานเบา และงานปานกลาง ด้วยจักรยานวัดงาน และ อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งพบว่า เยาวชนอาจมีความเสี่ยงหากต้องทำงานต่อเนื่องที่สภาพแวดล้อมของอุณหภูมิ 30องศาเซลเซียส และจะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากต้องทำงานที่สภาพอุณหภูมิ 32องศาเซลเซียส
จากผลศึกษาครั้งนี้ยังพบว่า กฎหมายความปลอดภัยสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน ที่มีอยู่ในปัจจุบันของแรงงานทั่วไปยังไม่เหมาะสม ที่จะใช้เป็นเกณฑ์ทำงานเพื่อความปลอดภัยของเยาวชน กล่าวคือ เยาวชนพาร์ทไทม์ จะสามารถทำงานที่ระดับภาระงานเบามากและเบาได้ โดยมีความเสี่ยงต่ำตลอด 8 ชั่วโมง ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิไม่เกิน 28 องศาเซลเซียส และมีภาระงานที่ไม่หนักเกินขีดความสามารถของร่างกาย หากอุณหภูมิสูงถึง 30 หรือ 32 องสาเซลเซียส อาจเป็นอันตรายต่อเยาวชนได้หากต้องทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยอาจส่งผลต่ออาการบาดเจ็บทางระบบกระดูก กล้ามเนื้อ และพัฒนาการทางร่างกายของเด็กได้ กรณีเยาวชนต้องยกของหนักในพื้นที่ทำงานอุณหภูมิสูงและรวมถึงการทำงานในช่วงกลางคืน
“ทั้งนี้ ทีมวิจัย ได้ยื่นเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกับ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการแรงงานอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านกระบวนการทำงาน สภาพแวดล้อมในสถานประกอบการ เพื่อคุ้มครองเยาวชนที่ทำงานพาร์ทไทม์ให้มีสุขภาวะที่ดีตลอดการทำงาน และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ผศ. นริศกล่าว
อย่างไรก็ดี หลักความรู้ด้าน Human Engineering & Design ยังสามารถนำไปปรับใช้วิเคราะห์และเสนอปรับกระบวนการทำงานให้ได้มาตรฐานและความปลอดภัยที่สูงขึ้น ช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัยและส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต อาทิ ประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ในโรงงานอุตสาหกรรม การเคลื่อนย้ายวัสดุด้วยแรงกาย (Ergonomics Guideline for Manual Handling) การออกแบบสถานีงานทำงานกับเครื่องจักร (design of workstations at machinery) รวมถึงประยุกต์ใช้สำหรับออกแบบอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกายและผู้สูงวัย ผศ.นริศกล่าวทิ้งท้าย
"วิศวกรรม" - Google News
July 29, 2020 at 02:10PM
https://ift.tt/2BCiraO
ห่วงอันตราย!เยาวชนไทยกับงานพาร์ทไทม์ เร่งผลักดันก.ม.แรงงานคุ้มครอง - สยามรัฐ
"วิศวกรรม" - Google News
https://ift.tt/2Mrzm1v
0 Comments:
Post a Comment